ตัววิ่ง

♡ ยินดีต้อนรับสู่เว็บบล็อก ผลงานของณัฐชา ได้เลยคะ ♡

วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

phrasal verbs

phrasal verbs (กริยาวลี)
Phrasal verbs หรือ กริยาวลี คือกลุ่มคำกริยาที่ประกอบไปด้วย คำกริยา (verb)และคำบุพบท (preposition) เมื่อรวมกันแล้วความหมายมักจะเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น
give up   แปลว่า   เลิก, หยุด     (เราไม่สามารถแปล give ว่า ให้ และ up แปลว่า ขึ้น แล้วนำมารวมกันแปลว่า ให้ขึ้นได้)
come across แปลว่า พบโดยบังเอิญ ( come = มา, across = ข้าม)อ่านเพิ่มเติม

PASSIVE VOICE

โครงสร้าง PASSIVE VOICE เป็นอย่างไร มีเท่าไหร่
โครงสร้างก็คล้ายกับ Active Voice ( Tense ทั้ง 12 ที่ได้เรียนไปแล้ว ) เพียงแค่มี Verb to be มาคั่น และกริยาหลักคือ ช่อง หมดเลย และมีอยู่ทั้งหมด 12 รูปแบบประโยคเช่นกัน
ถ้าจะพูดให้ฟังใหม่ก็คือว่า Tenseย่อย มี 12 ตัว  แต่ละตัวสามารถแบ่งออกเป็นสองชนิด ดังนี้
Present Tense
o    Present simple tense (Active voice )
o    Present simple tense (Passive voice )
o    Presenst continuous tense (Active voice)
o    Presenst continuous tense (Passive voice)
o    Present perfect tense (Active Voice)
o    Present perfect tense (Passive Voice)
o    Present perfect continuous tense (Active Voice)
o    Present perfect continuous tense (Passive Voice)
ยกตัวอย่างแค่ Present Tense ให้ดูนะครับ นับดูแล้วได้ เพราะมันมีโครงสร้างที่ต่างกัน รวมกับ Past Tense อีก และ Future Tense อีก รวมเป็น 24 โครงสร้าง
ดังนั้น ถ้ามีคนถามเกี่ยวกับเรื่อง Tense ให้อธิบายดังนี้
o    Tense ใหญ่ๆ มี 3 Tense คือ Present Tense / Past Tense  / Future Tense
o    แต่ละ Tense แบ่งย่อยออกเป็น 4 Tense ย่อย คือ Simple / Continuous / Perfect / Perfect Continuous
o    แต่ละ Tense ย่อย แบ่งรูปแบบประโยคออกเป็น ชนิด คือ Active Voice / Passive Voice
o    ดังนั้น ถ้าเราจะเรียนเรื่อง Tense เราต้องเรียนรู้โครงสร้างที่ต่างกัน 24โครงสร้าง
o    แต่จริงๆแล้ว ไม่ได้นำมาใช้ทั้งหมดหรอก เอามาใช้จริง ไม่ถึงครึ่งเลย คอนเฟิร์ม
 แล้ว TENSE 12 ที่เรียนมาแล้วคืออะไร
Tense ทั้ง 12 ที่เรียนไปแล้วเป็นประโยค Active Voice คือ ประธานเป็นคนกระทำทั้งหมด โดยไม่พูดถึง Passive Voice เลย ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ โครงสร้าง Active Voice เสียก่อน ถ้าเข้าใจดีแล้ว การเรียนรู้ Passive Voice ก็จะไม่ยากเท่าไหร่ เพราะต่างกันแค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ถ้าให้เรียนรู้ควบกับไปเลยทั้งหมด เดี๋ยวจะงงกันเสียเปล่าๆ
เหตุผลที่ให้เรียนโครงสร้าง Active Voice ให้เข้าใจก่อนนั้นก็เพราะว่ามันเป็นหัวใจของภาษาอังกฤษนั้นเอง ถ้าเข้าใจตรงนี้แล้ว ภาษาอังกฤษก็จะเป็นเรื่องง่ายๆทันที เพราะผู้เรียนสามารถอ่านเนื้อหาต่างๆที่เป็นภาษาอังกฤษได้แล้ว อาจติดขัดบ้างที่คำศัพท์ก็สามารถใช้ดิกชันนารีช่วยได้
ตัวอย่างประโยค
Present Tense
Thai people grow rice in rainy season. คนไทยปลูกข้าวในฤดูฝน (ใครปลูกข้าว ก็คนไทยไง)
Rice is grown in rainy season. ข้าวถูกปลูกในฤดูฝน (ใครปลูกไม่สน สนแต่ว่าปลูกเมื่อไหร่)
Rice is grown by Thai people. ข้าวถูกปลูกโดยคนไทย (ปลูกเมื่อไหร่ไม่สน สนแต่ว่าใครปลูก)
That woman is hitting a cat. หญิงคนนั้นกำลังตีแมว (ใครตี ก็ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนตี)
A cat is being hitแมวตัวหนึ่งกำลังถูกตี (ไม่ต้องการรู้ว่าใครตี ต้องการรู้แค่ว่าแมวโดนตี)
A cat is being hit by that woman. แมวตัวหนึ่งกำลังถูกตีโดยผู้หญิงคนนั้น (ตัวนี้เป็นประโยคสมบูรณ์ แต่นิยมใช้ด้านบน)
He has built the house for two years. เขาได้สร้างบ้านมาแล้วเป็นเวลาสองปี
The house has been built for two years. บ้านได้ถูกสร้างมาแล้วเป็นเวลาสองปี
Past Tense
We grew rice yesterday. พวกเราปลูกข้าวเมื่อวานนี้
Rice was grown yesterday. ข้าวถูกปลูกเมื่อวานนี้
Future Tense
We will grow rice tomorrow. เราจะปลูกข้าวพรุ่งนี
Rice will be grown tomorrow. ข้าวจะถูกปลูกพรุ่งนี้

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2559


Direct and Indirect Speech
วิธีการนำเอาคำพูดที่ได้ยินมากล่าวถึงอีกครั้งในภาษาอังกฤษ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2ประเภทด้วยกัน คือ
Direct Speech คือ การยกคำพูดจริงๆของผู้พูดทั้งหมดมาเล่าให้ฟังโดยไม่เปลี่ยนแปลง โดยอาศัยการนำคำพูดนั้นมาไว้อยู่ในเครื่องหมายคำพูด (Quotation Marks (“…”)) โดยมี comma (,) คั่นกลางระหว่างประโยคที่ยกมาพูดถึง และ ประโยคหลัก โดยประธานที่อยู่ในเครื่องหมายคำพูดจะต้องเป็นตัวใหญ่เสมอ เช่น    He said, “I will clean the house.”
Indirect Speech (Reported Speech) คือ การนำคำพูดมารายงานให้ผู้อื่นฟัง หรือ การดัดแปลงคำพูดมาให้เป็นคำพูดของผู้เล่านั่นเอง เช่น  He said he would clean the house. อ่านเพิ่มเติม